“ก้อ” หุบเขาหมอกควัน กับการน้อมนำศาสตร์พระราชา
“ก้อ” หุบเขาหมอกควัน กับการน้อมนำศาสตร์พระราชา
นับตั้งแต่ดิฉันจำความได้ ตำบลก้อ คือบ้านเกิดของดิฉัน ตัวดิฉันเองจึงได้ผ่านทุกการเปลี่ยนแปลงของหมู่บ้านแห่งนี้ ย้อนไปเมื่อประมาณ 10 ปีที่ผ่านมาในพื้นที่ตำบลก้อมีความอุดมสมบูรณ์ไปด้วยทรัพยากรป่าไม้ สัตว์ป่าและลำห้วย ซึ่งชาวบ้านก็ได้รับประโยชน์จากความอุดมสมบูรณ์ เป็นที่อยู่อาศัย อาหาร ทำการเกษตรกรรมโดยเฉพาะไร่ข้าวโพด
พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นป่าผลัดใบ และยังมีป่าดงดิบอยู่ตามหุบเขา พันธุ์ไม้ที่พบได้แก่ เต็ง รัง เป็นต้น เมื่อถึงช่วงเดือน มี.ค-เม.ยของทุกปีจะเป็นช่วงเข้าฤดูแล้งจะเกิดไฟป่า ชาวบ้านเองต่างก็เริ่มเผาไร่ข้าวโพดเพื่อเตรียมความพร้อมที่จะทำการปลูกข้าวโพดในเดือนก่อนฤดูฝนจะมาถึง ทำแบบนี้ทุกปี แต่ด้วยป่าที่มีความอุดมสมบูรณ์เรียกได้ว่าป่ามีภูมิคุ้มกันตัวเองที่ดีด้วย คือ ป่ามีความชุ่มชื้น ต้นไม้หนาแน่น น้ำอุดมสมบูรณ์ เมื่อไฟป่ามาไม่นานฝนก็ตกลงมาชะล้างไฟป่าและฝุ่นละอองให้จางลง
แต่ในปัจจุปันสิ่งที่เราเห็นและรับรู้ได้ถึงการเปลี่ยนแปลงคือ ต้นไม้ลดลง แหล่งน้ำแห้งเหือด เกิดภาวะภัยแล้งต่อเนื่อง ฝนไม่ตกต้องตามฤดูกาล จึงทำให้ป่าเริ่มไม่มีภูมิคุ้มกันตัวเอง เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ป่าแห้งแล้ง ใบไม้แห้งร่วงหล่น เกิดเป็นเชื้อเพลิงอย่างดี เมื่อไฟป่ามาก็ลุกลามได้อย่างรวดเร็ว ประกอบกับฝนที่ทิ้งช่วงมายาวนานเป็นวัฏจักรหมุนเวียนเช่นนี้ทุกปี และทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เกิดฝุ่นละอองที่เป็นพิษต่อสุขภาพที่เราเรียกกันว่า PM 2.5 ส่งผลกระทบต่อสุขภาพร่างกายของคนในชุมชนบ้านก้อและชุมชนโดยรอบ โดยเฉพาะคนบ้านก้อเองมีพื้นที่ลักษณะคล้ายแอ่งก้นกระทะจึงได้รับผลกระทบโดยตรง อีกทั้งในชุมชนมีเด็กและผู้สูงอายุอยู่อาศัยเป็นจำนวนมาก จึงได้รับผลกระทบต่อสุขภาพระบบทางเดินหายใจเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ยังส่งผลถึงภาพรวมในส่วนของการท่องเที่ยวอีกด้วย
สาเหตุที่เกิดมลพิษจากหมอกควันนั้น ประกอบด้วยหลายปัจจัย เช่น
🔺 ความเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวของชาวบ้าน
🔺 การชิงเผาทั้งชาวบ้านเองและเจ้าหน้าที่ในพื้นที่
🔺 การจุดไฟเพื่อหาของป่าตามความเชื่อของชาวบ้านที่มีมาแต่ก่อน
🔺 การกลั่นแกล้ง เนื่องจากความขัดแย้งผลประโยชน์ในพื้นที่ด้วยเช่นกัน
ถึงแม้ว่าจะมีหลายๆหน่วยงานพยายามเข้ามาขอความร่วมมือและรณรงค์ให้ลดและหยุดเผาบ้าง แต่โอกาสที่ไฟป่าจะเกิดซ้ำๆในปีต่อๆไปก็ยังคงมีอยู่
แนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหาเพื่อลดการเผาป่าและหมอกควันมีอยู่หลายวิธี อันดับแรกเราควรศึกษาก่อนว่าตำบลก้อซึ่งอยู่ในเขตพื้นที่อุทยานแห่งชาตินั้นมีความเป็นอยู่และมีความต้องการปรับเปลี่ยนตัวเองในด้านใดบ้าง เนื่องจากว่าชาวบ้านก้อเองมีอาชีพอย่างเดียวที่ทำรายได้ให้กับครอบครัวรวมถึงหนี้สินคือ การทำไร่ข้าวโพด หมดฤดูกาลก็ไม่มีอาชีพเสริมจึงพากันเข้าป่าหาเห็ด หน่อไม้ พืชผักที่สามารถนำมาประกอบอาหาร รวมถึงสามารถนำมาจำหน่ายเพื่อเลี้ยงชีพได้ ซึ่งดิฉันเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่าถ้าชาวบ้านอยู่ไม่ได้ป่าก็อาจจะอยู่ไม่ได้ด้วยเช่นกัน ดังนั้นเราจึงควรคิดว่าจะหาวิธีใดให้คนกับป่าสามารถอยู่ร่วมกันได้และดำรงอยู่ได้ตลอดทั้งปี หลังการเก็บเกี่ยว แนวทางนั้นคือ การน้อมนำศาสตร์ของพระราชาเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งให้ชาวบ้านได้เรียนรู้ด้วยตัวเองและนำมาปฏิบัติ เรียนรู้การอยู่แบบพอเพียง รู้จักปลูกผักช่วยเหลือตัวเองและที่สำคัญต้องรู้จักการรักษาป่าต้นน้ำ ซึ่งเป็นแหล่งน้ำที่สำคัญในการหล่อเลี้ยงชีวิตเราเอง ในอนาคตเราไม่ได้ต้องการให้ทุกคนเข้าไปในป่าเพื่อปลูกป่าในวันเดียว แต่เพียงต้องการให้ทุกคนปลูกป่าในไร่ในสวนของตัวเราเองเสียก่อน เพราะต้นไม้เหล่านี้จะเป็นป่าต้นน้ำในไร่ในสวนให้เรา เราหาต้นไม้ที่กินได้ ให้ร่มเงา สามารถปลูกผักกินเองและขายเพื่อหารายได้ มีอาชีพร่วมกันกับป่า ป่าก็จะเป็นป่าที่อุดมสมบูรณ์ได้
การสร้างพื้นฐานให้มั่นคง มีการใช้และสร้างทรัพยากรอย่างสมดุล รักษาป่า รักษาต้นไม้ โดยเริ่มจากพื้นที่ของเราเองนั้น ไม่นานป่าในเขตพื้นอุทยานแห่งชาติแม่ปิงก็จะมีความชุ่มชื้นและกลับมาอุดมสมบูรณ์ดั่งแต่ก่อน และทำให้ทุกคนเห็นคุณค่าของป่า ดังที่พระราชาของเราท่านทรงเห็นและให้ความสำคัญกับคำว่า ป่าต้นน้ำ และเหตุใดเราจึงจะเอาแต่ประโยชน์จากป่าเพียงอย่างเดียว ป่าเป็นผู้ให้เราเป็นผู้รับตลอดมา แต่มาตอนนี้ป่าอยากจะเป็นผู้รับบ้าง เราจะช่วยกันได้แล้วหรือยัง ขอเพียงแค่ส่วนหนึ่งของหัวใจเพื่อการรักษาป่า แล้วเราจะได้ประโยชน์จากป่าอีกมากมายตราบชั่วลูกชั่วหลาน และที่สำคัญต้องช่วยกันรณรงค์ไม่เผาป่า การเผาลดลงปัญหาและผลกระทบต่างๆ ก็จะลดลงตามมา เราก็จะอยู่ได้ด้วยความยั่งยืนดังคำสอนของพระราชาว่าด้วยการน้อมนำศาสตร์พระราชามาปรับใช้นั่นเอง
บทความนี้เป็นเพียงความคิดเห็นส่วนบุคคล เพื่อให้เราได้ตระหนักถึงแนวทาง และการเปลี่ยนแปลงในอนาคตต่อไป
บทความโดย
สุวิมล อินทรัชว์ ชาวชุมชนบ้านก้อ อ.ลี้ จ.ลำพูน
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น