ชุมชนกลางหุบเขาเข้าใจและเปลี่ยนแปลงอย่างไร ?
ชุมชนกลางหุบเขาเข้าใจและเปลี่ยนแปลงอย่างไร ?
How a community in the middle of the woods adapts and changes?
ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันตำบลก้อก็ได้พึ่งพาอาศัยผืนป่าและแม่น้ำปิง เป็นแหล่งทรัพยากรทางอาหารเลี้ยงปากท้องทุกครัวเรือนในชุมชนเรื่อยมา ภายใต้ป่าเขาลำเนาไพร แม่น้ำอันอุดมสมบูรณ์ สัตว์ป่าใหญ่น้อยนานาชนิด รวมถึงสัตว์น้ำในแม่น้ำ แต่ความอุดมสมบูรณ์เหล่านี้ก็ค่อยๆมีสภาพที่ถดถอยลงตามกาลเวลา และกระแสของสังคมในปัจจุปัน ดิฉันเชื่อว่าทุกคนที่มีโอกาสอ่านบทความนี้คงจดจำได้ว่า ในช่วงเวลาในแต่ละปีที่ท่านจำความได้จนถึงช่วงเวลาของการเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะสภาพของสิ่งแวดล้อมในความทรงจำของดิฉัน เมื่อตื่นขึ้นมาจะพบว่า เมื่อถึงฤดูฝนฝนก็จะตกอย่างต่อเนื่องหลายวันชาวบ้านได้เริ่มเตรียมตัวทำการเกษตร ปลูกข้าวโพด ฤดูกาลปลูกเริ่มในช่วงประมาณปลายเดือนเมษายนของทุกปี ตากผ้าก็ไม่เคยแห้ง มีกลิ่นอับชื้น พอถึงฤดูหนาวอากาศก็จะหนาวจนไม่อยากตื่นไปโรงเรียนในตอนเช้า พอเข้าฤดูร้อนก็จะร้อนประมาณ 32 องศา แต่ก็ไม่ร้อนมากเหมือนกับปัจจุบัน บางครั้งก็มีเมฆบดบังเพื่อให้แดดที่ร้อนอ่อนตัวลง และนี่คือความจริงที่ตัวดิฉันเคยได้สัมผัสและอาจจะเป็นส่วนหนึ่งในข้อเท็จจริงที่ไม่มีใครสามารถปฏิเสธได้
สำหรับวิถีชีวิตของคนในชุมชนตำบลก้อ เมื่อมีป่า ทุกอย่างย่อมมีสิ่งมีชีวิต ชาวบ้านเริ่มใช้ป่าเป็นแหล่งหาอาหารเพื่อดำรงชีวิตหารายได้จากป่ามากขึ้น ปัจจุบันเปรียบเสมือนช่วงฤดูของการทำร้ายผืนป่ามากขี้น เมื่อมีกิจกรรมเหล่านี้ซ้ำในทุกๆปี ป่าก็เริ่มมีการเสื่อมโทรมลง เมื่อป่าไม่อุดมสมบูรณ์ ฝนฟ้าอากาศก็ย่อมมีการเปลี่ยนแปลงไป ฝนฟ้าอากาศก็ไม่เป็นไปตามฤดูกาล เกิดมลพิษทางอากาศเนื่องจากการเผาป่าทำให้เกิดหมอกควันทำร้ายสภาพอากาศและเป็นพิษต่อสุขภาพร่างกายของชาวบ้านและคนทั่วไป
คำพูดที่เราพอจะเข้าใจคือ PM 2.5 นั่นเอง ต้นเหตุของปัญหาเหล่านี้ก็สืบเนื่องด้วยสภาวะภัยแล้งที่เกิดขึ้น ฝนที่ทิ้งช่วงมายาวนาน ส่งผลให้อุณภูมิสูงขึ้นและมีแนวโน้มว่าจะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ แต่สิ่งที่เราคาดว่าจะไม่เปลี่ยนแปลงเลยคือวิถีการดำรงชีวิตของชาวบ้านในชุมชนจะเป็นแบบเดิมๆและจะไม่เปลี่ยนเลยด้วยซ้ำ
ในเมื่อมีปัญหาก็มีแนวทางในการแก้ไขปัญหา สิ่งที่ดิฉันคิดไว้เสมอคือ ศาสตร์ของพระราชา สามารถนำกลับมาปรับเปลี่ยนและปรับใช้ได้กับทุกสถานการณ์จริงๆ พระองค์ทรงสอนให้เราอยู่ได้โดยไม่ต้องพึ่งผู้ใด ด้วยการอยู่อย่างพอเพียง ศาสตร์ของพระราชาอาจจะเห็นผลช้าแต่ก็ยั่งยืน และด้วยตำบลก้อเป็นหมู่บ้านเล็กๆที่โชคดีได้มีหน่วยงานทางราชการเข้ามาพัฒนาให้ความสำคัญและนำแนวทางของการแก้ไขปัญหาเข้ามาเพื่อให้คนในชุมชนได้มีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาร่วมกัน
การสร้างโครงการต่างๆเพื่อพัฒนาแหล่งน้ำ ให้ความสำคัญกับแหล่งน้ำ เพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผืนป่าด้วยการปลูกต้นไม้ สร้างแผนพัฒนาที่ยั่งยืนร่วมกันระหว่างหน่วยงานและชาวบ้าน สิ่งสำคัญที่ตัวดิฉันคาดว่าอยากจะให้ได้รับการพัฒนาคือ แหล่งน้ำ เพราะชุมชนมีความต้องการแหล่งน้ำเป็นปัจจัยหลักสำคัญของการพัฒนาในทุกๆเรื่อง และถ้าหากโครงการทุกโครงการประสบความสำเร็จ ก็จะสามารถนำวิธีการพัฒนาเป็นแบบอย่างให้กับชุมชนอื่นได้ด้วย
ชาวบ้านได้เริ่มตระหนักมากยิ่งขึ้น เนื่องจากปีนี้เป็นปีที่ภัยแล้งยาวนาน การทำการเกษตรก็ล่าช้าลง ฝนที่ตกมีปริมาณน้อย พืชผักในป่าไม่เจริญเติบโต หรือมีปริมาณน้อยลงกว่าแต่ก่อน ทำให้ชาวบ้านขาดรายได้จากการเข้าป่าไปด้วย ดังนั้นจึงเป็นที่มาของคำว่า ชาวบ้านจะให้ความร่วมมือกันอย่างไรในการอนุรักษ์ป่าและไม่เผาป่าเพื่อสร้างหมอกควัน ชาวบ้านบางกลุ่มเริ่มมีการเพาะปลูกพืชผักทานเองในครัวเรือน เหลือก็นำมาจำหน่ายในชุมชน มีการปรับเปลี่ยนวิถีการดำรงชีวิตให้อยู่ได้ตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน
การสร้างความเข้าใจกับชาวบ้านเป็นสิ่งสำคัญที่ผู้นำควรรู้และนำมาปฏิบัติให้ถูกต้อง เพราะชาวบ้านส่วนใหญ่จะเป็นคนรุ่นเก่า ความเชื่อหรือการดำรงด้วยวัฒนธรรมยังคงเป็นแบบเดิม อย่างไรก็ตามในส่วนของความคิดของตัวดิฉันเองก็ยังต้องบอกว่า เราควรให้ความสำคัญในเรื่องของบริบทพื้นที่นั้นๆที่เราต้องการจะศึกษาหรือเข้ามาพัฒนาก่อนเพื่อจะได้รับผลลัพธ์ของความสำเร็จอย่างที่เราต้องการ
บทความนี้เป็นเพียงความคิดเห็นส่วนบุคคล เพื่อให้เราได้ตระหนักถึงแนวทางและการเปลี่ยนแปลงในอนาคตต่อไป
บทความโดย
สุวิมล อินทรัชว์ ชาวชุมชนบ้านก้อ อ.ลี้ จ.ลำพูน
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น